Return to site

สวิง กับ สวนดอกไม้

และโลกในมุมกลับของเหล่าผีเสื้อ

ในโลกทางการเงินมีคำสองคำ ที่หลายคนอาจแยกกันไม่ออก นั่นคือคำว่า “ทำเงิน” (Make Money) กับ “สร้างความมั่งคั่ง” (Building Wealth)

เพราะถ้ามองเผินๆ จะดูเหมือนไม่ต่าง เพราะทำแล้วได้เงินทั้งคู่ แต่ในความลึกซึ้งทั้งแนวคิด และวิธีการ แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

หากเราเปรียบ “ผีเสื้อ” เป็น “เงิน” การหารายได้ หรือทำอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เงิน (FOCUS ที่เงิน) ค่าของมันก็จะเท่ากับ การสร้าง​​ “สวิง” ดีๆ ขึ้นมาสักอัน เพื่อเอาไว้คอยไล่จับผีเสื้อ

แต่สำหรับการสร้างความมั่งคั่งนั้น เปรียบได้กับการสร้าง​ “สวนดอกไม้” สร้างสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้เอื้ออำนวยต่อการที่ผีเสื้อและแมลงต่างๆ จะมาอยู่อาศัยรวมกันเป็นระบบนิเวศน์ที่งดงาม (FOCUS ที่การสร้างคุณค่า) อาจเหนื่อยหนักช่วงแรก แต่ผลของมันสวยงามและผ่อนแรง เพราะมันคือการสร้าง “แรงดึงดูด” ไม่ใช่การ​ “ไล่ล่า”

สมัยก่อนตอนเริ่มต้นสร้างอิสรภาพทางการเงิน ผมสนุกกับการวิ่งไล่จับผีเสื้ออย่างมาก ทำสวิงไว้หลายอัน ไว้เพื่อคอยไล่จับพวกมัน วันนี้ใช้สวิงอันนี้ พรุ่งนี้ใช้สวิงอีกอัน แล้วแต่ชนิดของผีเสื้อที่ผมตามในวันนั้น นานวันเข้าสวิงผมก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จับผีเสื้อได้มากขึ้น

วิ่งไล่จับไปมา ก็เริ่มเหนื่อย เป็นนักล่ามาหลายปีก็เริ่มตระหนักได้ว่า แล้วเราจะมีแรงวิ่งไล่ล่าผีเสื้อได้อีกนานแค่ไหน จนวันหนึ่งมาเจอแนวคิดของโรเจอร์ แฮมิลตัน ในหนังสือ Wink and Grow Rich ผมจึงเริ่มมองเห็นอะไรที่แปลกไปและเปลี่ยนไปจากเดิม 

“การไล่ล่า คือ การผลัก ในขณะที่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม คือ การสร้างแรงดึงดูด” 

การทำเงิน (Make Money) มันเป็นได้แค่ การแลกเปลี่ยน (Exchange) แต่การสร้างความมั่งคั่ง (Building Wealth) มันคือ การสร้างคุณค่า (Value) ซึ่งส่งผลและผลิดอกออกผลในระยะยาว

ลองดูตัวอย่างกันสักนิด ...

การเปิดเว็บไซต์สักแห่งหนึ่งเพื่อขายของที่เราซื้อมาแล้วขายไปนั้น มันเป็นได้แค่การทำเงิน เพราะมันไม่เกิดการสร้างคุณค่าในระยะยาว คุณค่าถูกสร้างขึ้นมาจากมือผู้ผลิต (หมายถึงกรณีที่ผลิตของดีมาขายนะครับ ของห่วยๆไม่นับ) เราเป็นได้แค่คนส่งต่อ และทำได้แค่ “แลกเปลี่ยน” (Exchange)

ด้วยเหตุที่เราไม่ใช่คนสร้างคุณค่า ดังนั้น เราจึงเป็นได้แค่คนทำเงิน ซึ่งใครก็ทำได้ และการทำเงินนั้นสุดท้ายแล้วมักต่อสู้กันด้วย “สงครามราคา” หรือ Price War ซึ่งรังแต่จะทำให้เราเหนื่อยวิ่งหาของใหม่มาขายไม่รู้จบ

แล้วการทำเงินมันผิดหรือไง? ...ไม่ได้ผิดหรอกครับ แต่มันไม่ยั่งยืน เพราะเราทำได้แค่เป็น “ตัวกลาง” การแลกเปลี่ยนในสเกลเล็กๆ ไม่ได้เป็นคนสร้างคุณค่า

แล้วถ้าอยากเป็น “ตัวกลาง” แบบเป็นสวนดอกไม้ ต้องทำอย่างไร? ...7-11 และร้าน Chain Store ทั่วไป คือ คำตอบครับ

แล้ว “การทำเงิน” เนี่ย มันรวยไม่ได้เลยหรือไง? ... รวยได้ครับ ถ้าบริหารเงินที่ได้มาเป็น รู้จักนำเงินที่ได้จากการทำเงิน ไปทำเงินต่อ (เงินต่อเงิน) หรือนำไปสร้างหรือซื้อทรัพย์สิน (เงินต่อทรัพย์สิน ทรัพย์สินต่อเงิน)

ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง การอดทนสร้างสินค้าและบริการให้อยู่ในใจลูกค้า จนเกิดความภักดีต่อแบรนด์ ก็จะเปรียบได้กับการสร้างสวนดอกไม้ 

ลองนึกดูง่ายๆ วันนี้สวนดอกไม้ของแอ๊ปเปิ้ลก็ยังเบ่งบานตระการตาดี แม้จะมีสวนดอกไม้อื่นๆ อยู่เต็มไปหมด แต่แบรนด์นี้ก็ยังแข็งแกร่งและอยู่ได้ดี ตราบเท่าที่เหล่าคนดูแลสวนให้สตีฟ จ๊อบส์ ยังคงทำงานหนักกันอย่างขะมักเขม้น 

หรือถ้าแบรนด์แอ๊ปเปิ้ลใหญ่ไป ลองดูสวนดอกไม้ของร้านมนต์นมสด หรือผัดไทประตูผี ดูก็ได้ น้ำหวานในสวนดอกไม้ราคาแพงแค่ไหน ผีเสื้ออย่างเราๆ ก็ยินดีซื้อ (ราคาอาหารของทั้งสองร้านไม่ได้ถูกเลย แต่คนก็ยินดีจ่าย)

พอชื่อติด แบรนด์เป็นที่นิยม กลิ่นเกสรดอกไม้ของร้านเรา แบรนด์เรา บริษัทเรา ก็หอมขจายไปทั่วไป ดึงดูดผีเสื้อทั้งจากสวนอื่น และที่กำลังบินหนีตาข่ายที่กำลังไล่ล่า เขามาพักใจในสวนของเราได้สบายๆ

“ทำเงิน” กับ “สร้างความมั่งคั่ง” เป็นคนละเรื่องเดียวกัน และนั่นเป็นคำถามที่เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณจะต้องหัดตั้งสติแล้วถามตัวเองว่า พรุ่งนี้เช้าจะเลือกทำอะไร ระหว่างคว้าสวิงไปวิ่งมาราธอน หรือตื่นแต่เช้าไปเดินหาดอกไม้พันธุ์ดีๆ มาปลูก

ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวคุณครับ!